อุทยานแห่งชาติคลองพนม พื้นที่ป่าไม้ที่มีความอุดมสมบูรณ์ มีภูเขาหินปูนสลับซับซ้อน

สิงหาคม 22, 2553
อุทยานแห่งชาติคลองพนม ตั้งอยู่ในเขตอำเภอพนม จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นพื้นที่ป่าไม้ที่มีความอุดมสมบูรณ์ มีภูเขาหินปูนสลับซับซ้อน สวยงาม ดูลึกลับแปลกตา อีกทั้งยังเป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร ซึ่งเป็นเส้นเลือดหล่อเลี้ยงชุมชนแถบนี้ ซึ่งผืนป่าแห่งนี้ได้รับการประกาศให้เป็นอุทยานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543 จัดเป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่  102 ของประเทศไทย
ลักษณะภูมิประเทศ

พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขา กินเนื้อที่กว่า 80% ของอุทยาน โดยเป็นแนวสันเขาที่ลากยาวจากทิศตะวันตกไปยังทิศตะวันออก ส่วนใหญ่เป็นภูเขาหินปูน มีความสูงชันสลับซับซ้อน บางแห่งมีหน้าผาสูงชัน โดยจุดสูงสุดอยู่บริเวณช่วงกลาง ซึ่งมีความสูงจากระดับน้ำทะเลกว่า 870 เมตร
ลักษณะภูมิอากาศ

อุทยานแห่งชาติคลองพนม เป็นป่าที่ตั้งอยู่ในเขตร้อน ทำให้มีฝนตกชุกเกือบตลอดทั้งปี โดยฤดูฝนจะเริ่มประมาณเดือนพฤษภาคม – เดือนธันวาคม ซึ่งในช่วงเดือนสิงหาคม – เดือนตุลาคมจะเป็นช่วงที่ฝนตกชุกมากที่สุด ส่วนในฤดูร้อนจะมีอากาศร้อยที่สุดในช่วงเดือนเมษายน โดยระยะเวลาที่เหมาะสมกับการมาเยี่ยมชม จะอยู่ในช่วงเดือนธันวาคม – เดือนเมษายน
สถานที่ท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติคลองพนม

ในเขตอุทยานแห่งชาติคลองพนม มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ดังนี้
ชมบัวผุด

บัวผุดหรือบัวตูม เป็นไม้กาฝากชนิดหนึ่ง เติบโตอยู่บนรากของพืชสกุลเครือเขาน้ำ มีลักษณะเด่นที่ดอก โดยเป็นดอกเดียวขนาดใหญ่ขึ้นจากพื้นดิน มีกลิ่นเหม็นมาก โดยจะมีดอกระหว่างฤดูฝน และจะบานเต็มที่ในช่วงเดือนพฤศจิกายน – พฤษภาคม ในเขตอุทยานจะพบบัวผุดบริเวณเขาหลังบ้านถ้ำผึ้ง หมู่ที่ 6 ตำบลคลองศก อำเภอพนม โดยใช้เส้นทางบนถนนสายหลักสุราษฎร์ธานี–ตะกั่วป่า แล้วเข้าไปช่วงหลักกิโลเมตรที่ 108 ประมาณ 4 กิโลเมตร จากนั้นเดินเท้าต่ออีกประมาณ 1.5 กิโลเมตร ก็จะถึงแหล่งที่มีบัวผุด
ถ้ำแก้ว

เป็นถ้ำที่มีหินงอกหินย้อยสวยงาม มีรูปร่างแปลกตา อีกทั้งในถ้ำยังมีห้องย่อย ๆ อีก 4 ห้อง ได้แก่ ห้องฤาษี ห้องม้าน้ำ ห้องหม้อยา และห้องเกล็ดแก้ว ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 40 นาที ในการเดินชมความงามของถ้ำแก้วในทุกซอกทุกมุม โดยถ้ำแห่งนี้อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยาน 2 กิโลเมตร และต้องเดินเลียบเชิงเขาเพื่อไปถึงบริเวณปากถ้ำอีกประมาณ 1 กิโลเมตร
ถ้าน้ำลอดเขาวงก์

อยู่ห่างจากหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ คพ. 1 (บ้านคลองพนม) ประมาณ 5 กิโลเมตร ภายในถ้ำมีลำธารซึ่งมีน้ำไหลผ่านตลอด มีหินงอกหินย้อยสวยงามแปลกตา ซึ่งอีกด้านหนึ่งของถ้ำ จะเป็นค่ายคอมมิวนิสต์เก่า ซึ่งมีเนื้อที่กว่า 1,000 ไร่ โดยใช้ระยะเวลาเดินจากหน้าถ้ำ ไปยังอีกด้านประมาณ 40 นาที อีกทั้งถ้ำแห่งนี้ยังมีฝูงค้างคาวอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก
น้ำตกเขาวงก์

เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ที่ไหลลงมาจากหน้าผาสูงชันลงสู่ลำธารด้านล่าง มีความสูงรวม 8 ชั้น สายน้ำที่เกิดเป็นน้ำตกแห่งนี้ เป็นสายน้ำเดียวกับสายน้ำที่ผ่านถ้ำน้ำลอดเขาวงก์ เป็นแหล่งต้นน้ำคลองพนม และถือว่าเป็นแหล่งน้ำสำคัญของค่ายคอมมิวนิสต์ ที่เคยจัดตั้งกองกำลังอยู่ในบริเวณนี้ด้วย
น้ำตกโตนไทร

เป็นน้ำตกที่มีน้ำไหลตลอดทั้งปี มีความสูงทั้งสิ้น 12 ชั้น เป็นน้ำตกที่มีความสวยงามน่าหลงใหล ผืนป่ารอบ ๆ มีความอุดมสมบูรณ์ มีสัตว์ป่านานาชนิด อีกทั้งบริเวณน้ำตกยังมีต้นไทรขึ้นปกคลุมอยู่หนาแน่น ตัวน้ำตกอยู่ห่างจากหมู่บ้านสะพานนาคหมู่ที่ 5 ประมาณ 3.5 กิโลเมตร สามารถเดินทางโดยรถยนต์ไปที่ตัวหมู่บ้าน และเดินเท้าต่อไปยังตัวน้ำตก โดยใช้ระยะเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง
ล่องลำน้ำคลองศก (วังมัจฉา–บ้านเชียวปง)

เป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติทางน้ำ ใช้ระยะเวลาในการล่องลำน้ำประมาณ 2 ชั่วโมง มีจุดเริ่มเส้นทางห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติประมาณ 1 กิโลเมตร หรือบริเวณวังมัจฉา ซึ่งมีสายพันธุ์ปลาหลากหลายสายพันธุ์ เช่น ปลาแรด ปลาตะเพียนหางแดง และปลากดหิน เป็นต้น โดยตลอดสองฝั่งคลองจะมีภูเขาหินปูน ซึ่งมีความสูงชันเป็นหน้าผาที่สวยงามน่าประทับใจ
ล่องแก่งลำน้ำคลองพนม–บ้านเบญจา

จุดเริ่มต้นของการล่องแก่งจะอยู่ที่หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่คพ.1 (บ้านคลองพนม) ใช้ระยะเวลาในการล่องแก่งทั้งสิ้นประมาณ 4 ชั่วโมง เป็นเส้นทางที่เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบความท้าทายและความตื่นเต้น โดยช่วงที่เหมาะสมจะอยู่ระหว่างเดือนสิงหาคม – เดือนธันวาคม ซึ่งเป็นฤดูน้ำหลากมีน้ำไหลเชี่ยว นอกจากนี้นักท่องเที่ยวยังจะได้ชมกับความงามของพันธุ์ไม้นานาชนิด ที่ยังคงความสวยงามและความสมบูรณ์ตามธรรมชาติ
เส้นทางศึกษาธรรมชาติต้นไม้ใหญ่

เส้นทางนี้มีระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร จุดเริ่มต้นอยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานประมาณ 200 เมตร ระหว่างเส้นทางมีป่าไม้ที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์ มีจุดชมทิวทัศน์ซึ่งอยู่บนโขดหินที่มีความสวยงาม โดยจุดเด่นที่สุดของเส้นทางศึกษาธรรมชาตินี้ คือ ต้นกระบากขาว ซึ่งเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ มีขนาดรอบต้นยาวถึง 12 เมตร
การเดินทางมายังอุทยานแห่งชาติคลองพนม

สามารถขับรถโดยใช้ถนนเส้นสุราษฎร์ธานี – ตะกั่วป่า หรือใช้บริการรถโดยสารสายสุราษฎร์ธานี – ภูเก็ต รวมถึงรถตู้สายสุราษฎร์ธานี – เขาศก โดยให้ลงรถที่หน้าป้ายอุทยานแห่งชาติคลองพนม หลักกิโลเมตรที่ 80
สิ่งอำนวยความสะดวก

ภายในอุทยานมีบ้านพักและลานกางเต็นท์ไว้บริการนักท่องเที่ยว นอกจากนี้ยังมีเจ้าหน้าคอยให้บริการนำทางเดินป่าเพื่อไปชมดอกบัวผุด โดยสามารถติดต่อได้ที่ อุทยานแห่งชาติคลองพนม โทรศัพท์ 077-299-298

อุทยานแห่งชาติคลองพนม จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีจุดเด่นอยู่ที่ภูเขาหินปูนสูงชัน มีน้ำตกที่สวยงาม อีกทั้งยังร่ำรวยผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ มีจุดเด่นอยู่ที่ต้นกระบากขาวขนาดใหญ่ และดอกบัวผุดที่บานรอคอยนักท่องเที่ยวในช่วงเดือนพฤศจิกายนไปจนถึงเดือนพฤษภาคม อุดมไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวอีกหลากหลายจุดถึงเพียงนี้ เห็นทีจะต้องหาโอกาสแวะมาเที่ยวชมสักครั้ง

อุทยานแห่งชาติใต้ร่มเย็น จังหวัดสุราษฎร์ธานี แหล่งอาศัยของสัตว์นานาชนิด

สิงหาคม 20, 2553
อุทยานแห่งชาติใต้ร่มเย็น ตั้งอยู่ที่อำเภอเวียงสระและอำเภอนาสาร จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยมีพื้นที่ครอบคลุมทั้ง 2 อำเภอ โดยภายในอุทยานจะมีลักษณะเป็นป่าดงดิบชื้นและมีความอุดมสมบูรณ์ รวมถึงเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์นานาชนิดและยังเป็นต้นน้ำลำธารที่สำคัญ นอกจากนี้ก็มีภูเขาที่สูงที่สุดในจังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยมีความสูงประมาณ 1,530 เมตรจากระดับของน้ำทะเล และมีหลักฐานทางด้านประวัติศาสตร์ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ให้ได้ชม โดยอุทยานแห่งชาติใต้ร่มเย็นก็ได้จัดตั้งเป็นอุทยานเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2530 มีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 265,625 ไร่
ลักษณะภูมิประเทศ

มีลักษณะเป็นเทือกเขาที่มีความสลับซับซ้อนและมีลำคลองที่สำคัญหลายสาย เช่น คลองลำพูน คลองแคระ คลองฉวาง และคลองกิ่งยาว เป็นต้น นอกจากนี้ก็มีภูเขาที่มีลักษณะเป็นถ้ำที่มีความงดงามและน่าชม
ลักษณะภูมิอากาศ

สำหรับภูมิอากาศของอุทยานแห่งชาติใต้ร่มเย็น ในช่วงเดือนเมษายนจะมีอุณหภูมิสูงสุดและเดือนมกราคมจะมีอุณหภูมิต่ำสุด ซึ่งเมื่อคิดเฉลี่ยอุณหภูมิตลอดปีพบว่าอยู่ที่ประมาณ 26 องศาเซลเซียส นั่นก็เพราะว่าพื้นที่อุทยานอยู่ภายใต้อิทธิพลของลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ จึงทำให้มีสภาพอากาศดังกล่าว ส่วนปริมาณน้ำฝน เมื่อเฉลี่ยรายปีพบว่าไม่น้อยกว่า 1,600 มิลลิเมตร โดยจะมีน้ำฝนเฉลี่ยรายเดือนมากที่สุดในเดือนพฤศจิกายน
สถานที่ท่องเที่ยวภายในอุทยานแห่งชาติใต้ร่มเย็น

อุทยานแห่งชาติใต้ร่มเย็น เป็นอุทยานที่มีความอุดมสมบูรณ์ไปด้วยผืนป่าและสัตว์ป่านานาชนิด และด้วยบรรยากาศที่กำลังสบาย ไม่ร้อนหรือเย็นจัดจนเกินไป จึงทำให้ที่นี่เหมาะกับการท่องเที่ยวพักผ่อน และนอกจากความอุดมสมบูรณ์และงดงามของอุทยานแล้ว ภายในก็ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมาย โดยเฉพาะน้ำตกและเส้นทางศึกษาธรรมชาติ แต่เพื่อให้ผืนป่าได้มีการฟื้นตัวบ้าง จึงมีการปิดการท่องเที่ยวประจำปี ในระหว่างวันที่ 15 ส.ค. – 15 ธ.ค. ของทุกปีนั่นเอง โดยสถานที่ท่องเที่ยวภายในอุทยาน ก็มีดังนี้
1. น้ำตกดาดฟ้า

น้ำตก 7 ชั้น ที่ได้ขึ้นชื่อว่ามีความใหญ่และสูงที่สุดในจังหวัดสุราษฎร์ธานี และมีหน้าผาที่สูงชันถึง 80 เมตร โดยภายในบริเวณน้ำตกจะมีอากาศที่เย็นสบาย เต็มไปด้วยความงดงามแบบธรรมชาติ สามารถลงเล่นน้ำได้ ซึ่งตั้งอยู่ที่ หมู่ 7 ตำบลลำพูน อำเภอบ้านนาสาร จังหวัดสุราษฎร์ธานี
2. น้ำตกเหมืองทวด

น้ำตกที่มีความโดดเด่นในเขตอำเภอบ้านนาสาร โดยมีทั้งหมด 7 ชั้นเช่นกัน นอกจากนี้ในบริเวณใกล้ๆ กับน้ำตกก็มีร่องรอยทางประวัติศาสตร์ให้ได้ชมกัน นั่นคือ ค่าย 180 ซึ่งเป็นค่ายที่ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์เคยใช้ในการวางกำลังซุ่มโจมตีทหารนั่นเอง แต่การจะเข้าไปเที่ยวที่ค่ายแห่งนี้ จะต้องติดต่อขอเจ้าหน้าที่นำทางก่อน และบริเวณใกล้ๆ กันก็มีน้ำตกสามห้าเจ็ด 5 ชั้น ที่มีความสวยงาม น่าเที่ยวไม่แพ้กัน
3. น้ำตกเพชรพนมวัฒน์

น้ำตก 2 ชั้น ขนาดไม่ใหญ่มาก โดยมีหน้าผาหินวางขวางลำน้ำอย่างสวยงาม สร้างความตื่นตาตื่นใจได้เป็นอย่างดี ซึ่งตั้งอยู่ที่หน่วยพิทักษ์อุทยานฯ ที่ รย.4 และยังมีน้ำตกอีกหลายแห่งบริเวณใกล้เคียง เช่น น้ำตกคลองน้ำเฒ่า 2 ชั้น โดยชั้นที่สอง สายน้ำจะไหลลาดลงมาและแยกออกเป็นสามสาย เป็นภาพที่มองดูงดงามมาก และน้ำตกคลองคันเบ็ด ซึ่งมี 7 ชั้น นอกจากนี้ก็มีถ้ำหินปูนขนาดใหญ่ ชื่อว่าถ้ำขมิ้น ภายในมีหินงอกหินย้อยที่ธรรมชาติสร้างสรรค์มาอย่างสวยงาม ส่วนบริเวณใกล้เคียง ก็มีถ้ำปลาและถ้ำน้ำลอดทะลุใต้ภูเขาที่สวยงามและน่าเที่ยวชมไม่แพ้กัน
การเดินทาง

สำหรับการเดินทาง เริ่มต้นจากตัวเมืองของจังหวัดสุราษฎร์ธานี จากนั้นให้ขับไปตามทางหลวงหมายเลข 4009 ถนนสายสุราษฎร์ธานี-บ้านนาสาร โดยขับไปเรื่อยๆ ประมาณ 33 กิโลเมตรก็จะพบกับบ้านเฉียงพร้า อยู่ตรงข้ามกับโรงเรียนควนสุบรรณ ให้เลี้ยวซ้ายไปตามถนน รพช. ขับตรงไปอีกประมาณ 15 กิโลเมตร ก็จะถึงอุทยานแห่งชาติใต้ร่มเย็น สามารถติดต่อกับเจ้าหน้าที่ เพื่อเข้าไปเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ ภายในอุทยานได้เลย

อุทยานแห่งชาติใต้ร่มเย็น เป็นอุทยานที่มีความงดงามน่าเที่ยว และมีร่องรอยทางประวัติศาสตร์ที่ควรค่าแก่การไปเที่ยวชม ซึ่งการเดินทางไปเที่ยวก็ไม่ยาก แต่ควรเลี่ยงการไปเที่ยวในช่วงฤดูฝน เพราะอาจเป็นอันตรายได้

 Website: park.dnp.go.th/visitor/nationparkshow.php?PTA_CODE=1074

อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง ประกอบด้วยเกาะเล็กน้อยใหญ่ถึงกว่า 42 เกาะ

สิงหาคม 19, 2553
หมู่เกาะอ่างทอง เป็นหมู่เกาะในท้องทะเลอ่าวไทย อยู่ไม่ไกลจากเกาะสมุยและเกาะพงัน มีเกาะน้อยใหญ่อยู่เป็นบริวารมากถึงกว่า 40 เกาะ โดยตามเกาะต่าง ๆ นั้น จะมีหาดทรายขาวสะอาดให้นักท่องเที่ยวไปไปเยือน หาดทรายบางแห่งหาดทรายมีสีขาวสะอาด บางเกาะมีแหล่งปะการังสีสันสวยงามหลากสีให้นักท่องเที่ยวได้ดำลงไปสำรวจอย่างตื่นตา และเนื่องจากหมู่เกาะอ่างทองมีธรรมชาติที่สวยงาม เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ควรคุณค่าแก่การอนุรักษ์ จึงมีการประกาศให้หมู่เกาะอ่างทองเป็นอุทยานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2523 ซึ่งเป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 21 ของประเทศไทย
ลักษณะภูมิประเทศ

อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทองมีเนื้อที่ประมาณ 102 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 63,750 ไร่ ตั้งอยู่ในอำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎ์ธานี ประกอบด้วยเกาะเล็กน้อยใหญ่ถึงกว่า 42 เกาะ โดยมีเกาะที่สำคัญ เช่น เกาะวัวตาหลับ เกาะสามเส้า เกาะแม่เกาะ เกาะพะลวย เกาะหินดับ เกาะไผ่เกาะวัวจิ๋ว เกาะวัวกันตัง เกาะลวก และเกาะคา เป็นต้น ลักษณะของเกาะส่วนมากเป็นภูเขาหินปูนที่มีความสูง 10 ถึง 400 เมตรจากระดับน้ำทะเล โดยภูเขาหินปูนเหล่านี้ จะเกิดการสึกกร่อนเปลี่ยนแปลงทั้งทางเคมี ทางกายภาพ และจากสภาพดินฟ้าอากาศ ทำให้เกิดรูปร่างของเกาะที่แปลกตาชวนหลงใหล บางแห่งมองดูคล้ายกับปราสาทหิน
ลักษณะภูมิอากาศ

เนื่องจากหมู่เกาะอ่างทองมีปริมาณน้ำฝนโดยเฉลี่ย 2,000 มิลลิเมตรต่อปี อุณหภูมิเฉลี่ย 23 องศาเซลเซียส โดยในช่วงเดือนพฤศจิกายน – เดือนธันวาคม เป็นช่วงที่มรสุมพัดผ่าน ทำให้เกิดฝนตกชุกคลื่นลมแรง ทางอุทยานแห่งชาติจึงกำหนดให้ช่วงนี้ เป็นช่วงปิดฤดูกาลท่องเที่ยว (1 พ.ย. – 23 ธ.ค. ของทุกปี) ส่วนในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – สิงหาคม เป็นช่วงที่คลื่นลมสงบ สภาพอากาศแม้จะร้อนแต่ไม่อบอ้าว เหมาะแก่การท่องเที่ยวยิ่งนัก
สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ

อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง ประกอบไปด้วยเกาะเล็กน้อยใหญ่จำนวนมากมาย ทำให้มีสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญและมีความสวยงามกระจายอยู่ทั่วไปดังนี้
1. เส้นทางศึกษาธรรมชาติ

มีเส้นทางให้นักท่องเที่ยวได้ศึกษาธรรมชาติทั้งทางบกและทางน้ำ โดยเส้นทางศึกษาธรรมชาติทางบก ตั้งอยู่ที่อ่าวคา เกาะวัวตาหลับ มีระยะทางทั้งสิ้นกว่า 500 เมตร นักท่องเที่ยวจะได้ศึกษาพรรณไม้ สัตว์ป่า ที่พบได้ทั่วไปในบริเวณหมู่เกาะอ่างทอง

ส่วนเส้นทางศึกษาธรรมชาติทางเรือ โดยใช้เรือแคนู มีให้ศึกษาเลือกชม 2 เส้นทาง คือ บริเวณระหว่างชายหาดอ่าวคาไปจนถึงชายหาดหน้าทับ ซึ่งมีความยาวถึง 2.2 กิโลเมตร และอีกเส้นทางที่รอบ ๆ เกาะผี มีระยะทางประมาณ 600 เมตร

ส่วนการศึกษาธรรมชาติแบบดำผิวน้ำ จะมีให้บริการถึง 3 เส้นทาง เป็นการศึกษาธรรมชาติชีวิตสัตว์ใต้น้ำ มีแหล่งให้ดำผิวน้ำถึง 3 แห่ง ได้แก่ บริเวณอ่าวคา เกาะวัวตาหลับ ระยะทาง 150 เมตร บริเวณเกาะท้ายเพลา ระยะทาง 200 เมตร และสุดท้ายที่บริเวณเกาะสามเส้า มีระยะทางให้ศึกษาประมาณ 150 เมตร
2. เกาะวัวตาหลับ

เกาะวัวตาหลับ เป็นเกาะที่ตั้งสำนักงานของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง บริเวณหน้าสำนักงานอุทยานเป็นหาดทรายที่มีทรายสีขาวสะอาด ซึ่งเหมาะกับการทำกิจกรรมสันทนาการ พักผ่อน และเล่นน้ำเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังมีจุดชมวิวที่อยู่บนยอดเขา ซึ่งมีความสูงประมาณ 500 เมตร นักท่องเที่ยวจะสามารถมองเห็นความสวยงามของหมู่เกาะอ่างทอง ซึ่งมีความอัศจรรย์และรูปร่างดูแปลกตา อีกทั้งไม่ไกลจากสำนักงาน ยังมีถ้ำบัวบก ซึ่งเป็นถ้ำที่มีหินงอกหินย้อยดูงดงามแปลกตา รอคอยให้นักท่องเที่ยวได้ไปชม
3. ทะเลใน

ทะเลในเป็นแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของหมู่เกาะอ่างทอง เป็นทะเลธรรมชาติที่อยู่ภายในเกาะแม่เกาะ ถือว่าเป็นทะเลในหนึ่งเดียวในประเทศไทย รอบ ๆ รายล้อมด้วยภูเขาหินปูนสูงสลับซับซ้อน ซึ่งเหมาะแก่การเก็บภาพความประทับใจเป็นอย่างยิ่ง
4. เกาะสามเส้า

เกาะสามเส้าเป็นเกาะที่มีหาดทรายสวยงาม เนื้อทรายขาวละเอียด เหมาะแก่การพักผ่อน เล่นน้ำ และการตั้งแคมป์ค้างคืน นอกจากนี้ยังมีแหลมที่ยื่นออกไปในทะเล มองดูคล้ายกับสะพานหินที่ทอดยาวข้ามน้ำ ดูสวยงามแปลกตา และบริเวณเกาะสามเส้า ยังมีแนวปะการังที่สมบูรณ์ เหมาะแก่การดำน้ำศึกษาธรรมชาติ
5. เกาะท้ายเพลาและเกาะวัวกันตัง

ทั้งเกาะท้ายเพลาและเกาะวัวกันตัง เป็นอีกแห่งที่เหมาะแก่การพักผ่อน และนักท่องเที่ยวนิยมไปเยือน เนื่องจากมีแนวปะการังและชาดหาดที่สวยงาม เหมาะแก่การพักผ่อน
ที่พักและแหล่งอำนวยความสะดวก

ทางอุทยานแห่งชาติ มีที่พักบริการแก่นักท่องเที่ยว ทั้งบริเวณที่ทำการอุทยาน และบนเกาะวัวตาหลับ ราคา 500 – 1,400 บาท นักท่องเที่ยวสามารถกางเต็นท์ที่ลานกางเต็นท์ได้ ราคาหลังละ 200 – 300 บาท รวมถึงมีร้านอาหารเปิดให้บริการตั้งแต่ช่วงเช้าไปจนถึงช่วงเย็น สำหรับใครที่ต้องการไปท่องเที่ยว และต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถสอบถามได้ที่ 077-286-025 และ 077-280-222
การเดินทางไปยังหมู่เกาะอ่างทอง

นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางสู่หมู่เกาะอ่างทอง โดยใช้บริการเรือนำเที่ยวจากท่าเรือบ่อผุดหรือจากท่าเรือหน้าทอนบนเกาะสมุย ไปยังที่ทำการอุทยานแห่งชาติ โดยออกเดินทางทุกวันเวลา 08.30 น. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงจึงถึงหมู่เกาะอ่างทอง ส่วนขากลับจะกลับถึงท่าเรือหน้าทอนหรือท่าเรือบ่อผุดประมาณ 17.00 น.

นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวยังสามารถใช้บริการบริษัททัวร์ โดยการซื้อแพ็คเกจทัวร์แบบ one-day trip ซึ่งจะออกจากเกาะสมุยเวลา 8.30 น. และจะกลับมาถึงเกาะสมุยในช่วงเย็น ประมาณ 17.00 น. รวมถึงยังสามารถเลือกได้ว่าจะค้างคืนที่หมู่เกาะอ่างทองหรือไม่

หมู่เกาะอ่างทองถือว่าเป็นหนึ่งในอัญมณีของท้องทะเลอ่าวไทย มีเกาะน้อยใหญ่ที่แต่ละเกาะต่างมีเอกลักษณ์และความสวยงามไม่แพ้กัน ซึ่งความสวยงามเหล่านี้กำลังรอให้นักท่องเที่ยวได้ไปสัมผัสและเก็บความประทับใจไม่รู้ลืม

เกาะเต่า โลกใต้น้ำที่งดงามที่สุดของอ่าวไทย แหล่งท่องเที่ยวคลายร้อนที่ไม่ควรพลาด

สิงหาคม 15, 2553
ด้วยสภาพอากาศของเมืองไทยที่ร้อนจนแทบต้องอยู่หน้าพัดลมหรืออยู่ในห้องแอร์ตลอดเวลา สถานที่ท่องเที่ยวคลายร้อนส่วนใหญ่จึงได้รับความนิยมมากที่สุด โดยเฉพาะเกาะเต่า เกาะเล็กๆ กลางอ่าวไทยที่ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดสุราษฎร์ธานี และเนื่องจากมีลักษณะเว้าเป็นอ่าว จึงทำให้เกาะเต่ามีอ่าวมากถึง 11 อ่าว และมีแหลมถึง 10 แหลมด้วยกัน แถมยังมีจุดน่าสนใจมากมายที่ทำให้ใครๆ ก็อยากมาเยือนดูสักครั้ง
จุดเด่นของเกาะเต่า

เกาะเต่า เป็นเกาะที่ขึ้นชื่อว่ามีโลกใต้น้ำที่งดงามที่สุดของอ่าวไทย จึงทำให้นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมมาดำน้ำชมปะการังและหมู่ปลาน้อยใหญ่ใต้น้ำมากที่สุด ทั้งยังมีป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ จึงทำให้ที่นี่มีบรรยากาศดีและเหมาะกับการท่องเที่ยวเพื่อพักผ่อนหย่อนใจเป็นอย่างมาก และที่จะพลาดไม่ได้เลย ก็คือการมาชมวิวพระอาทิตย์ตกที่เกาะเต่านั่นเอง ซึ่งก็ต้องยอมรับเลยว่าเป็นภาพพระอาทิตย์ตกที่งดงามมากจริงๆ แถมยังมีบรรยากาศที่โรแมนติก เหมาะกับการมาเที่ยวชมกับคู่รักอีกด้วย
แหล่งท่องเที่ยวบนเกาะเต่า

สำหรับแหล่งท่องเที่ยวบนเกาะเต่าก็มีหลายแห่งด้วยกัน โดยส่วนใหญ่ก็จะเป็นอ่าว แหลม ชายหาดและจุดชมวิว ซึ่งก็มีสถานที่ท่องเที่ยวบนเกาะเต่าที่แนะนำดังนี้

    อ่าวแม่หาด: เป็นอ่าวที่มีความเจริญมากที่สุดบนเกาะเต่า โดยเรือจากทุกที่มักจะมาจอดที่อ่าวแห่งนี้เป็นหลัก ทั้งยังมีแหล่งชุมชน สถานที่ราชการและร้านค้าต่างๆ พร้อมให้บริการแก่นักท่องเที่ยวอยู่บริเวณอ่าวแม่หาดอีกด้วย เพราะฉะนั้นสำหรับใครที่อยากท่องเที่ยวแบบสะดวกสบาย มีร้านค้าครบครัน ก็ต้องมาที่อ่าวแม่หาดกันเลย
    สวนหิน จปร.: ที่นี่มีโขดหินรูปร่างประหลาด ที่ใครก็ต้องรู้สึกแปลกตาและทึ่งกับผลงานที่ธรรมชาติสร้างขึ้น ซึ่งก็เหมาะกับการมาเดินเล่นและถ่ายรูปที่สุด และเนื่องจากที่นี่มีรอยจารึกถึงการประพาสของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้ชื่อว่าสวนหิน จปร. นั่นเอง
    จุดชมวิวจอห์น สุวรรณ: เป็นจุดชมวิวทางตอนใต้ของเกาะที่สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ได้อย่างสวยงาม โดยเมื่ออยู่บนยอดเขาจุดชมวิวแห่งนี้ จะสามารถมองเห็นหาดสองหาดที่ตีวงโค้งเข้าหากัน และมีสันเขากับแผ่นดินกั้นกลาง ซึ่งก็เป็นภาพที่ดูสวยงามและสะดุดตา ทั้งนี้จุดชมวิวแห่งนี้ก็ถูกค้นพบโดยสองเพื่อนรักนายสุวรรณและมิเตอร์จอห์น จึงเป็นที่มาของชื่อจุดชมวิวจอห์น สุวรรณ นั่นเอง เพราะฉะนั้นใครที่ชอบชมวิวสวยๆ ห้ามพลาด
    อ่าวเทียนออก: อีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวบนเกาะเต่าที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก อ่าวเทียนออกแห่งนี้จะมีลักษณะเป็นอ่าวที่กว้างใหญ่และมีความโค้งของอ่าวอย่างสวยงาม แถมยังเป็นจุดที่สามารถมองเห็นปลาฉลามหูดำได้ง่าย และนอกจากนี้ก็มีร้านอาหารและที่พักสำหรับรองรับนักท่องเที่ยวเช่นกัน
    อ่าวลึก: อ่าวขนาดเล็กที่ถูกโอบล้อมไปด้วยหน้าผาและมีโขดหินมากมาย เหมาะกับการนั่งเล่น ว่ายน้ำและการดำน้ำสำหรับมือใหม่ที่สุด หรือจะให้อาหารปลาก็ได้เหมือนกัน แถมบรรยากาศก็มีความเย็นสบาย เงียบสงบ เหมาะกับการพักผ่อน

กิจกรรมที่นิยมทำ

กิจกรรมที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมทำ เมื่อมาเที่ยวเกาะเต่า มีดังนี้

    การดำน้ำชมปะการัง: เพราะเกาะเต่าขึ้นชื่อว่ามีโลกใต้น้ำที่สวยงามและโดดเด่นที่สุดของอ่าวไทย ดังนั้นกิจกรรมที่จะพลาดไม่ได้ก็คือการดำน้ำชมปะการังนั่นเอง ซึ่งที่เกาะเต่าก็มีทั้งจุดดำน้ำตื้นและจุดดำน้ำลึก ส่วนบริเวณที่เหมาะกับการดำน้ำชมปะการังมากที่สุด ก็ได้แก่ อ่าวโตนด อ่าวลึก แหลมเทียน เกาะฉลามและอ่าวหินวง นั่นเอง
    ขับมอเตอร์ไซค์เที่ยวรอบเกาะ: บนเกาะเต่า มีบริการให้เช่ามอเตอร์ไซค์สำหรับขับเที่ยวรอบเกาะ ซึ่งมีราคาไม่แพง สามารถขับเที่ยวได้ตลอดทั้งวัน นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จึงมักจะไม่พลาดการขับรถเที่ยวรอบเกาะ แต่สำหรับใครที่ไม่อยากขับรถเองหรือไม่ค่อยชำนาญการขับรถมากนัก ก็สามารถใช้บริการรถสองแถวแทนได้เหมือนกัน

เรื่องควรรู้เมื่อไปเที่ยวเกาะเต่า

    ที่อ่าวแม่หาดจะมีรถสองแถวให้นักท่องเที่ยวสามารถเหมาไปเที่ยวตามหาดอื่นๆ ได้ โดยคิดค่าบริการที่ประมาณ 50–100 บาท โดยขึ้นอยู่กับระยะทางที่ไปด้วย
    มีรถมอเตอร์ไซค์ให้เช่าสำหรับขับเที่ยวรอบเกาะ ในราคา 150–200 บาทต่อวัน และยังมีรถมอเตอร์ไซค์แบบวิบากและโฟร์วิวให้เช่า สำหรับการขับไปยังเส้นทางที่มีความชันและวิบากมาก
    ที่อ่าวแม่หาดมีเรือหางยาวให้เหมาเพื่อไปเที่ยวตามจุดต่างๆ ได้ ซึ่งกรณีที่เหมาทั้งวันโดยมีโปรแกรมไปเที่ยวตามหาดและไปดำน้ำตามจุดต่างๆ จะมีค่าบริการประมาณ 3000 – 5000 บาท
    ที่พักบนเกาะเต่า ควรจองล่วงหน้าก่อนไปเที่ยว เพราะที่พักอาจเต็มได้

เกาะเต่าเป็นเกาะที่มีความสวยงามและบรรยากาศดี เหมาะกับการท่องเที่ยวเพื่อคลายร้อน แถมยังสามารถท่องเที่ยวได้ทุกฤดูกาลเพราะฉะนั้นหน้าร้อนนี้มาพาครอบครัวหรือเพื่อนๆ ไปเที่ยวทะเลที่เกาะเต่ากันดีกว่า โดยสามารถเดินทางไปเกาะเต่าได้ทั้งจากท่าเรือในจังหวัดชุมพรและจังหวัดสุราษฎร์ธานี

น้ำตกแปดเซียน สัมผัสความงาม ที่เที่ยวสุดฟินแห่งเมืองสุราษฯ

สิงหาคม 14, 2553
“เมืองร้อยเกาะ เงาะอร่อย หอยใหญ่ ไข่แดง แหล่งธรรมะ” แค่วลีแรกที่ว่า “เมืองร้อยเกาะ” หลายคนก็น่าจะนึกออก ว่านี่เป็นคำขวัญของจังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นจังหวัดหนึ่งทางภาคใต้ฝั่งตะวันออกติดกับท้องทะเลอ่าวไทย แต่จริง ๆ แล้วสุราษฎร์ธานีไม่ได้มีแค่แหล่งท่องเที่ยวทางทะเลเท่านั้น แต่ยังมีภูเขา ป่าไม้ และน้ำตก นอกจากนี้ เขื่อนเชี่ยวหลาน ก็นับเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่เลื่องชื่อ และรอให้นักท่องเที่ยวเข้ามาสัมผัสไม่ขาดสาย
เขื่อนเชี่ยวหลาน แหล่งทัศนียภาพงดงามที่น่าประทับใจ

เขื่อนเชี่ยวหลาน หรือ เขื่อนรัชชประภา เป็นเขื่อนอเนกประสงค์ขนาดใหญ่แห่งที่ 2 ของภาคใต้ เป็นแหล่งผลิตกระแสไฟฟ้าพลังน้ำ ตลอดจนเป็นแหล่งกักเก็บน้ำเพื่อการชลประทานและการเพาะปลูก นอกจากนี้ ช่วยป้องกันน้ำท่วม ช่วยแก้ไขปัญหาน้ำเสียและผลักดันน้ำเค็ม เป็นแหล่งทำประมงน้ำจืดที่สำคัญของผู้คนแถบนี้ อีกทั้งยังกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ที่สร้างรายได้ให้กับจังหวัดสุราษฎร์ธานีได้ดีไม่น้อย

เขื่อนเชี่ยวหลาน มีอ่างเก็บน้ำที่มีทัศนียภาพโดยรอบสวยงาม ห้อมล้อมไปด้วยป่าไม้เขียวขจี มีภูเขาที่เป็นภูเขาหินปูนน้อยใหญ่มากมาย บางแห่งก็โผล่พ้นจากผืนน้ำ ทำให้สถานที่แห่งนี้ ได้รับการขนานนามว่า “กุ้ยหลินเมืองไทย” อีกทั้งเขื่อนเชี่ยวหลานยังเหมาะแก่การไปเที่ยวพักผ่อนของครอบครัว นอกจากนี้ การมาเที่ยวในช่วงฤดูฝนเป็นช่วงที่อากาศเย็นสบาย ไม่ร้อนเกินไป นักท่องเที่ยวจะได้มีโอกาสเห็นหมอกจาง ๆ ปกคลุมอยู่เหนือท้องน้ำและภูเขารอบ ๆ อ่างเก็บน้ำ ซึ่งเป็นภาพที่สวยงามน่าประทับใจอย่างยิ่ง
น้ำตกแปดเซียน น้ำตกสวยที่ซ่อนอยู่ท่ามกลางภูเขา

การได้มาเที่ยวเขื่อนเชี่ยวหลาน กิจกรรมหลักที่คนส่วนมากมักจะทำกัน นั่นก็คงไม่พ้นการล่องแพ เล่นน้ำ หรือพายเรืออยู่ในอ่างเก็บน้ำ แต่หากได้มาเปลี่ยนบรรยากาศอย่างการนั่งเรือไปเที่ยวน้ำตกแปดเซียน ซึ่งเป็นน้ำตกที่มีความสวยงาม และเป็นน้ำตกหนึ่งเดียวบนยอดเขา ที่หลบซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางผืนป่าดงดิบที่รายล้อมด้วยอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ก็จะยิ่งทำให้รู้สึกตื่นตาและประทับใจมากยิ่งขึ้น

น้ำตกแปดเซียนอยู่ไม่ไกลจากแพ 500 ไร่ ซึ่งแพ 500 ไร่ถือเป็นสถานที่พักผ่อนยอดนิยมของเขื่อนเชี่ยวหลาน โดยนั่งเรือไปแค่ 20 นาที ก็เข้าถึงตัวน้ำตกที่หลบซ่อนอยู่ได้แล้ว และเมื่อนั่งเรือไปถึงบริเวณน้ำตก ก็จะเห็นน้ำตกเล็ก ๆ น้ำใส ไหลลงมาจากภูเขา มองดูคล้ายกับน้ำทะลักลงมาจากภูเขา ซึ่งปริมาณน้ำของน้ำตกก็จะมากน้อยแล้วแต่ช่วงเวลา แต่หากเป็นช่วงที่มีฝนตก น้ำก็จะเยอะเป็นพิเศษ

นอกจากได้ชมความสวยงามของน้ำตกแปดเซียนด้านล่างแล้ว นักท่องเที่ยวยังสามารถเดินขึ้นไปด้านบนภูเขา เพื่อไปชมน้ำตกที่ด้านบนได้ โดยใช้เวลาเดินขึ้นประมาณ 60 นาที และต้องมีการปีนขึ้นเขาในบางจุด พร้อมกันนี้อาจต้องมีการปีนป่ายน้ำตกด้วยเล็กน้อย แต่ด้วยความที่เป็นภูเขาหินปูน ทำให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินขึ้นไปด้านบนได้ไม่ยากเกินไปนัก ระหว่างทางที่ปีนขึ้นไปด้านบน นักท่องเที่ยวอาจสังเกตเห็นว่าจากน้ำตกที่มีขนาดเล็ก ๆ ก็จะเริ่มขยายมีขนาดใหญ่ขึ้น อีกทั้งสายน้ำตกยังมีน้ำที่เย็นเฉียบ บางช่วงของน้ำตกจะเป็นแอ่งน้ำ ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถนอนแช่หรือเล่นได้ นอกจากจะสร้างความสนุกสนานให้กับการผจญภัยแล้ว ยังเป็นสายน้ำที่ช่วยดับร้อนและความเหนื่อยล้าได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้บางจุดยังเหมาะแก่การถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก

เมื่อเดินขึ้นถึงด้านบน ก็จะได้เจอกับทัศนียภาพที่สวยงาม มีแอ่งน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งมีทั้งความเย็นและความใสสะอาด เปรียบเสมือนกับอ่างจากุซซี่ที่ห้อมล้อมไปด้วยผืนป่าและแมกไม้ธรรมชาติ ทำให้ช่วยคลายความเหนื่อยล้าจากการเดินขึ้นไปได้เป็นอย่างดี

แต่บ่อยครั้งที่นักท่องเที่ยวอาจไม่มีเวลามากนัก จึงไม่สามารถเดินขึ้นไปชมด้านบนสุดของน้ำตกแปดเซียนได้ แต่สามารถปีนมาแค่ใกล้ ๆ ก็จะได้ชื่นชมกับสวยงามของสายน้ำและพืชพรรณต่าง ๆ พร้อมกันนี้ ในกรณีที่ต้องการเที่ยวชมน้ำตกแปดเซียนอย่างคุ้มค่าที่สุด และได้ดื่มด่ำกับธรรมชาติและความสวยงามอย่างเต็มที่ แนะนำว่าควรเตรียมเวลาสำหรับน้ำตกแปดเซียนโดยเฉพาะไว้สักครึ่งวัน จะได้มีเวลาสำหรับการถ่ายรูป เล่นน้ำ หรือนั่งพัก ไม่ต้องรีบร้อน ซึ่งอาจจะทำให้เกิดกล้ามเนื้ออักเสบและเดินเที่ยวไม่สนุกได้
กิจกรรมที่เขื่อนเชี่ยวหลาน

นอกจากการชมทัศนียภาพของอ่างเก็บน้ำ และการไปเที่ยวน้ำตกแปดเซียนแล้ว นักท่องเที่ยวยังสามารถล่องเรือเข้าไปเที่ยวในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองแสงที่อยู่ในผืนป่าลึก ซึ่งผืนน้ำจะเป็นสีเขียวมรกตน่าชม มีสัตว์ป่าที่หลากหลาย และหลายชนิดเป็นสัตว์ที่หาชมได้ยาก จึงทำให้ผืนป่าแห่งนี้เป็น 1 ใน 10 สถานที่ท่องเที่ยวที่มีความสมบูรณ์ของโลก และยังได้รับการขนานนามว่าเป็นจูราสิกพาร์ค
การเดินทางมายังเขื่อนเชี่ยวหลาน

เดินทางสู่ภาคใต้โดยใช้ทางหลวงหมายเลข 4 จากนั้นต่อด้วยทางหลวงหมายเลข 41 เมื่อสังเกตเห็นโรงพยาบาลท่าโรงช้างด้านขวา หรือช่วงหลักกิโลเมตรที่ 18 ให้เลี้ยวขวาใต้สะพานยกระดับเพื่อมุ่งหน้าไปตามทางหลวงหมายเลข 401 ขับไปเรื่อย ๆ จะสังเกตเห็นโรงเรียนบ้านตาชุนวิทยาทางด้านซ้าย ขับต่อไปอีก 2 กิโลเมตร ก็จะถึงทางเข้าเขื่อนรัชชประภา หากใช้บริการรถประจำทางจากกรุงเทพฯ ให้นั่งรถสายกรุงเทพฯ-บ้านเขาต่อ-พังงา หรือสายกรุงเทพฯ-ภูเก็ต แล้วลงที่บ้านตาขุน ก็จะสามารถมาที่เขื่อนรัชชประภาได้โดยง่าย

เขื่อนเชี่ยวหลานหรือเขื่อนรัชชประภา จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นเขื่อนที่มีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ มีทิวทัศน์ที่สวยงาม รายล้อมด้วยภูเขาหินปูน นักท่องเที่ยวสามารถทำกิจกรรมได้หลากหลายไม่มีเบื่อ อีกทั้งยังได้สัมผัสกับน้ำตกแปดเซียน ที่ซ่อนตัวอยู่บนภูเขาท่ามกลางผืนป่าดงดิบที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์ได้อย่างเต็มอิ่ม รับรองว่าการเดินทางมาเที่ยวชมความงามในสถานที่แห่งนี้จะทำให้ไม่ผิดหวังกลับไป

เงาะโรงเรียน หวานกรอบ ดีที่สุดในโลก ของอร่อยเมืองสุราษฎร์ธานี ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก

สิงหาคม 11, 2553
เงาะโรงเรียน ขึ้นชื่อในจังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยเป็นเงาะพันธุ์โรงเรียนที่ดีที่สุดในโลก มีต้นกำเนิดของเงาะสายพันธุ์นี้อยู่ที่โรงเรียนนาสาร อ.บ้านนาสาร จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งได้มีการนำเมล็ดจากต้นแม่พันธุ์ที่มีเพียงต้นเดียวมาปลูกนั่นเอง โดยเงาะได้ถูกจัดเป็นผลไม้เมืองร้อนชนิดหนึ่งที่มีอายุมานานหลายปี และสามารถเก็บผลผลิตได้ตั้งแต่ออกดอกจนกระทั่งผลแก่ นอกจากนี้ก็ยังมีประโยชน์อีกมากมาย ทั้งการนำมาทานสดๆ นำมาทำเงาะแช่อิ่มเชื่อม ทำแยมหรือใช้ไขของเงาะในการทำสบู่ เป็นต้น แถมรากและเปลือกของเงาะก็สามารถนำมาทำเป็นยาสมุนไพรได้ด้วย
ที่มาของเงาะโรงเรียน

เงาะถือเป็นผลไม้ขึ้นชื่อของบ้านนาสาร และได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยความเป็นมาของเงาะโรงเรียน มีเรื่องเล่าว่า เมื่อปี พ.ศ.2468 ได้มีชาวมาเล เชื้อสายจีนชื่อว่านายเค วอง เดินทางเข้ามาในประเทศไทยเพื่อที่จะทำเหมืองแร่ดีบุกที่ตำบลนาสาร จ.สุราษฎร์ธานี และได้นำเมล็ดเงาะมาปลูกไว้ใกล้กับที่พักของตน เพื่อเก็บกินในระหว่างที่ทำเหมืองอยู่ในประเทศไทย โดยจากต้นเงาะที่ปลูกขึ้นมา พบว่ามีต้นเงาะต้นหนึ่งที่มีลักษณะต่างไปจากเงาะต้นอื่นๆ คือมีเนื้อกรอบ หวาน เปลือกบางและมีรูปร่างค่อนข้างกลม ทั้งยังมีกลิ่นหอมน่าทาน ต่อมาจึงได้มีการรู้จักและปลูกกันอย่างแพร่หลาย
ประวัติความเป็นมา

จากที่มาของเงาะโรงเรียน เริ่มจากนายเค วอง ได้เข้ามาทำกิจการเหมืองแร่ดีบุกที่นาสาร และได้ทำการปลูกเงาะขึ้นใกล้กับบริเวณที่พักซึ่งอยู่ริมทางรถไฟ ซึ่งเริ่มแรกนั้นนายเค วอง เพียงแค่นำเงาะพื้นเมืองของปีนังมานั่งรับประทานตามปกติ จากนั้นก็ทิ้งเมล็ดลงบนพื้นดิน และด้วยความอุดมสมบูรณ์ของดินบริเวณดังกล่าว จึงทำให้เมล็ดที่ถูกทิ้งงอกขึ้นมาเป็นต้นเงาะประมาณ 3 ต้น หลังจากนั้นเมื่อนายเค วอง ได้เลิกกิจการเหมืองแร่แล้ว ก็ได้ทำการขายที่ดินพร้อมกับบ้านพักให้กับทางราชการของไทย และต่อมาก็ได้มีการทำเป็นโรงเรียนขึ้นมา โดยชื่อว่าโรงเรียนนาสาร ซึ่งระหว่างนั้นต้นเงาะก็ได้เจริญเติบโตใหญ่ขึ้นและออกดอกออกผลและมีต้นหนึ่งที่แปลกไปจากต้นอื่นๆ คือมีผลค่อนข้างกลม เนื้อกรอบ หวานอร่อย จึงได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ในเวลาต่อมาชาวนาสารก็ได้นำเมล็ดพันธุ์ของต้นเงาะดังกล่าวไปปลูกขยายพันธุ์กันอย่างแพร่หลาย และเป็นที่รู้จักกันทั่วในปัจจุบัน และเนื่องจากเงาะสายพันธุ์นี้มีแหล่งกำเนิดอยู่ในโรงเรียนนาสาร จึงได้มีการใช้ชื่อว่า “เงาะโรงเรียน” ต่อมาในปี พ.ศ.2512 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ก็ได้เสด็จไปยังจังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยนายชัช อุตตมางกูร ก็ได้ทูลเกล้าถวายผลเงาะโรงเรียนและขอพระราชทานชื่อพันธุ์เงาะใหม่ ดังนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงได้มีพระราชดำรัสว่า ชื่อเงาะโรงเรียนดีอยู่แล้ว เงาะสายพันธุ์นี้จึงมีชื่อว่าเงาะโรงเรียนอย่างเป็นทางการตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และยังมีการจัดงานวันเงาะโรงเรียนขึ้นในทุกปี เพื่อแสดงถึงความเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดสุราษฎร์ธานีอีกด้วย
พิธีการทำขวัญเงาะ

เนื่องจากเงาะมีราคาตกต่ำ และในบางฤดูก็ประสบภัยแล้งจนทำให้เงาะขาดแคลนน้ำจนเกิดการเฉาตายและผลเจริญไม่เต็มที่เป็นจำนวนมาก ซึ่งทำให้เกษตรกรเกิดการเสียขวัญอย่างหนัก ดังนั้นเพื่อเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับเกษตรกร ในวันที่ 19 กรกฎาคม 2546 จึงได้มีการจัดพิธีการทำขวัญเงาะขึ้นมา ณ บริเวณโรงเรียนนาสาร ซึ่งเป็นที่กำเนิดของเงาะโรงเรียนต้นแรก โดยยึดเอาแนวคิดแบบการทำพิธีทำขวัญข้าวเป็นแบบอย่าง ส่วนขั้นตอนในการทำขวัญเงาะ จะเริ่มจากการอัญเชิญแม่พระผลาหาร ที่ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นเทพธิดาอันศักดิ์สิทธิ์มาร่วมพิธี และจะทำพิธีโดยแบ่งออกเป็นช่วงกลางวันกับกลางคืน โดยกลางวันจะทำพิธีที่หน้าศาลเพียงตาเพื่อเบิกแม่ธรณี ซึ่งมีเครื่องบวงสรวงได้แก่

    ธูป 21 ดอก
    มะพร้าวอ่อน 1 ลูก
    เทียนไข 6 เล่ม ให้มัดเป็นกำ
    สาคูน้ำแดง 5 ถ้วย
    หมากพลู 5 คำ
    กล้วยน้ำว้า 1 หวี

ตามขั้นตอนจะทำการจุดธูปเพื่อชุมนุมเทวดา จากนั้นถวายอาหารและเครื่องบวงสรวงที่ได้เตรียมไว้ ตามด้วยสวดร้อยกรองบาลี บทพระปริตรลงด้วยเมตตาใหญ่ ส่งเทวดาด้วยบททุกขนัดตตา สัพเพพุทธา มหากาชยันโต เสร็จแล้วให้ลาเครื่องบวงสรวงลงมา แล้วตักอาหารใส่กระทงวางไว้หน้างาน เมื่อถึงตอนกลางคืน จะมีการไหว้ครูหมอขวัญ แนะนำตัวหมอ เบิกแม่ธรณีและจุดธูปชุมนุมเทวดา ตามด้วยพิธีทำขวัญ รับขวัญ เชิญเงาะโรงเรียนและขอพรเทวดา อวยพรร่วมงาน ปิดท้ายด้วยการสวดร้อยกรองบาลี

ทำไมต้อง ไข่เค็มไชยา (ของฝากขึ้นชื่อ) จังหวัดสุราษฎร์ธานี

สิงหาคม 10, 2553
เมื่อพูดถึงจังหวัดสุราษฎร์ธานี นอกจากจะนึกถึงสถานที่ท่องเที่ยว และเกาะน้อยใหญ่ที่น่าสนใจแล้ว ก็มักจะนึกถึงไข่เค็มไชยามาเป็นอันดับแรก ซึ่งก็เป็นของฝากที่ขึ้นชื่อในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ทั้งนี้ไข่เค็มไชยามีความแตกต่างจากไข่เค็มทั่วไปอย่างไร และทำไมจึงเป็นของฝากขึ้นชื่อที่ทำให้นักท่องเที่ยวมักจะไม่พลาดที่จะซื้อติดมือกลับไปเสมอ สามารถไปดูข้อมูลได้ดังนี้
ความเป็นมาของ ไข่เค็มไชยา

ประวัติความเป็นมาของไข่เค็มไชยา มีเรื่องเล่าว่า ไข่เค็มไชยาเกิดขึ้นในสมัยที่รัฐบาลกำลังสร้างทางรถไฟสายใต้ โดยมีนายจี่แซ่ซิก ที่ทำหน้าที่สร้างสะพานเหล็กตั้งแต่ชุมพร-สุราษฎร์ธานีเป็นผู้คิดค้นสูตรการทำไข่เค็มขึ้นมา ซึ่งแต่เดิมนั้นชาวไชยาก็ได้มีการนำไข่เป็ดมาหมักเพื่อให้มีรสชาติเค็มอยู่แล้ว แต่ไม่อร่อย โดยนายจี่ แซ่ซิก และครอบครัวก็ได้คิดค้นโดยการนำเอาดินเหนียวมาผสมกับเกลือป่น จากนั้นนำดินเหนียวมาพอกหุ้มไข่เป็ดเอาไว้จนมิด แล้วนำไปคลุกกับขี้เถ้าอีกที จึงได้ไข่เค็มที่มีรสชาติอร่อยและดีกว่าเดิม แต่เนื่องจากดินเหนียวเกาะไข่ได้ไม่นานนัก จึงได้มีการนำเอาดินปลวกมาใช้แทน พบว่าไข่เค็มมีรสชาติอร่อยและพอดีมากกว่าเดิม แถมยังนำมาขายได้ดีและเป็นที่ชื่นชอบของชาวไชยา

โดยในเวลาต่อมาชาวบ้านในตลาดไชยา ก็ได้นำเอาสูตรของนายจี่ แซ่ซิก มาใช้ทำไข่เค็มไว้ทานเองและขายกันอย่างแพร่หลาย ซึ่งเมื่อมีนักท่องเที่ยวผ่านมา แล้วแวะซื้อไปทาน ก็เกิดความติดใจและบอกต่อกันจนทำให้ไข่เค็มไชยากลายเป็นของฝากที่ขึ้นชื่อมากที่สุด และได้รับความนิยมมาจนถึงทุกวันนี้
ไข่เค็มไชยามีความพิเศษอย่างไร

ด้วยความพิเศษของไข่เค็มไชยา ที่ไม่เหมือนกับไข่เค็มทั่วไป จึงได้รับความนิยม โดยความพิเศษของไข่เค็มไชยาก็มีดังนี้

    มีรสชาติความเค็มที่พอเหมาะ ไม่เค็มหรือจืดจนเกินไป ซึ่งต่างจากไข่เค็มแบบอื่น ที่มักจะมีรสชาติไม่อร่อยและไม่ค่อยโดนใจมากนัก
    มีการแปรรูปมาจากไข่เป็ดสด ที่ได้มีการคัดสรรมาเป็นอย่างดี ทำให้ได้ไข่เป็ดที่มีคุณภาพ และนำมาทำไข่เค็มได้อย่างอร่อยกลมกล่อม
    สามารถเก็บไว้ได้นาน โดยไม่ต้องกลัวเสีย เพราะด้วยการผลิตจากกรรมวิธีธรรมชาติที่ใช้หลักการถนอมอาหาร จึงทำให้ไข่เค็มเก็บไว้เป็นเวลานานยิ่งขึ้น
    ไข่ดูสวยน่าทาน โดยไข่แดงจะจับกันเป็นก้อน มีความอร่อยใจใครก็ต้องติดใจ
    สามารถทอดเป็นไข่ดาว หรือนำมาต้มก็ได้ ซึ่งต่างจากไข่เค็มทั่วไป ที่มักจะมาในรูปแบบไข่ที่ต้มเรียบร้อยแล้ว โดยไข่เค็มที่นำมาทอดก็มีความอร่อยไม่แพ้กับไข่เค็มที่นำมาต้ม

วิธีทำไข่เค็มไชยา

สำหรับใครที่ต้องการทำไข่เค็มด้วยตนเองก็สามารถทำได้ โดยมีสูตรสำหรับทำไข่เค็มไชยาดังนี้
สิ่งที่ต้องเตรียม

    ไข่เป็ด โดยคัดเอาขนาดเบอร์ 1 ซึ่งไข่จะต้องมีคุณภาพดี สดใหม่ เปลือกหนา และมีรูทรงกลมเรียว เพื่อที่เวลาทำจะได้ไม่แตกร้าวได้ง่าย
    ดินจอมปลวก เพราะเป็นดินที่สามารถจับเกาะไข่ได้ดี และยังทำให้ไข่เค็มมีรสชาติอร่อย
    เกลือ เพื่อใช้ในการหมักให้ไข่มีรสเค็ม
    ขี้เถ้าแกลบ จะช่วยให้ดินเกาะไข่ได้นานนึง และทำให้ไข่เค็มมีรสชาติดีกว่าเดิม

วิธีการทำ

การทำไข่เค็มไชยา ให้นำไข่เป็ดที่เตรียมไว้มาล้างน้ำให้สะอาด จากนั้นเตรียมดินให้พร้อม โดยการนำดินจอมปลวกมาผสมคลุกเคล้ากับเกลือและน้ำเล็กน้อยจนเข้ากัน แล้วนำไข่เป็ดลงไปจุ่มในดินที่เตรียมไว้ โดยให้คลุกจนดินเคลือบทั่วฟองไข่และมีความหนามากพอ นำไปคลุกกับขี้เถ้าแกลบอีกที จากนั้นรอเวลา ไข่เป็ดก็จะกลายเป็นไข่เค็มที่มีรสชาติอร่อยและน่าทานทันที สำหรับระยะเวลาในการหมักไข่เค็มก็มีกำหนดดังนี้

    หมักไข่เค็ม 1-5 วัน สามารถนำมาใช้ต้มไข่หวานได้
    หมักไข่เค็ม 3-7 วัน นำมาทอดไข่ดาว
    หมักไข่เค็ม 10-15 วัน นำมาทำไข่ต้ม
    หมักไข่เค็ม 15-20 วัน สามารถนำมาทำยำไข่เค็มหรือทำไส้ขนมได้

ประโยชน์ของไข่เค็ม

สำหรับประโยชน์ของไข่เค็มก็มีดังนี้

    อุดมไปด้วยโปรตีนและวิตามินเป็นจำนวนมาก จึงช่วยในเรื่องของการเจริญเติบโตได้ดีอย่างสมวัยของลูกรักได้ดี
    ช่วยป้องกันมะเร็งเต้านมได้ เพียงทานไข่เค็มไชยาบ่อยๆ เท่านั้น
    เต็มไปด้วยโคลีนที่มีส่วนช่วยในการบำรุงสมองและการทำงานของระบบประสาท ให้ทำงานได้ดีขึ้น
    สามารถนำมาทำอาหารได้อย่างหลากหลาย

ไข่เค็มไชยา เป็นของฝากขึ้นชื่อในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่หากใครมาเที่ยวก็จะต้องนึกถึงไข่เค็มไชยาก่อนเสมอ โดยในปัจจุบันไข่เค็มไชยาก็มีรสชาติที่อร่อยและยังคงได้รับความนิยมอยู่เท่าทุกวันนี้ แถมยังมีตัวแทนนำไปขายทั่วประเทศ จึงสามารถซื้อได้ทั่วไป โดยไม่จำเป็นต้องมาซื้อที่ไชยาเท่านั้น แต่ใครที่มาเที่ยวสุราษฯ ก็อย่าลืมซื้อติดมือกลับไปฝากคนทางบ้านกันด้วย

 รูปภาพไข่เค็มไชยา